ข้อสอบ o-net วิชาคอมพิวเตอร์
ปีการศึกษา 2550
1. ข้อใดเป็นการเรียงลำดับวิวัฒนาการของวงจรคอมพิวเตอร์จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
1. หลอดสูญญากาศ, วงจรไอซี, ทรานซิสเตอร์, วงจรรวมความจุสูง
2. ทรานซิสเตอร์, หลอดสูญญากาศ, วงจรไอซี, วงจรรวมความจุสูง
3. หลอดสูญญากาศ, ทรานซิสเตอร์, วงจรไอซี, วงจรรวมความจุสูง
4. ทรานซิสเตอร์, วงจรไอซี, หลอดสูญญากาศ, วงจรรวมความจุสูง
2. ทำไมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์จึงใช้ระบบเลขฐานสอง
1. เนื่องจากอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ใช้ภาษาเครื่อง
2. เนื่องจากอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ไม่เข้าใจภาษามนุษย์
3. เนื่องจากอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานแบบแอนะล็อก
4. เนื่องจากอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานแบบดิจิทัลโดยใช้แรงดันไฟฟ้าแสดงสถานะเพียงสองสถานะ
3. กระบวนงานในข้อใดเกิดขึ้นเป็นสิ่งแรกเมื่อเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
1. เช็คสถานะของฮาร์ดแวร์
2. โหลดระบบปฏิบัติการเข้าสู่หน่วยความจำหลัก
3. หน่วยประมวลผลกลางประมวลชุดคำสั่งในหน่วยความจำหลัก
แบบแก้ไขได้ (RAM)
4. หน่วยประมวลผลกลางประมวลชุดคำสั่งในหน่วยความจำหลัก
แบบอ่านได้อย่างเดียว (ROM)
4. ข้อใดเป็นความหมายของภาษาโปรแกรมระดับสูง
1. ภาษามนุษย์ที่ใช้สื่อสารกัน เช่น
ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย เป็นต้น
2. ภาษาที่ประกอบด้วยตัวเลขฐานสองซึ่งคอมพิวเตอร์ใช้ประมวลผลได้ทันที
3. ภาษาที่สร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการเขียนคำสั่งมาจากคำศัพท์
ภาษาอังกฤษ
4. ภาษาที่มีความใกล้เคียงกับภาษาเครื่องหรือที่เรียกว่า
ภาษาอิงเครื่อง
(machine-oriented language)
5. สื่อกลางที่ใช้มากในการสื่อสารข้อมูลในระบบเครือข่ายแลนคือข้อใด
1. สายคู่บิดเกลียว
2. สายโคแอกเชียล
3. สายเส้นใยนำแสง
4. สายโทรศัพท์
เฉลย
ข้อ1. ตอบ 3 เนื่องจาก....
นับตั้งแต่มีการประดิษฐ์คอมพิวเตอร์เครื่องแรกมาจนกระทั่งปัจจุบัน
เราสามารถแบ่งยุคของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ออกเป็นยุคต่างๆ ได้ 5 ยุค
โดยพิจารณาจากเทคโนโลยีที่ใช้ในการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในช่วง
ค.ศ. 1951 - 1958 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสูญญากาศ
(Vacuum Tube) ขนาดใหญ่
ต้องใช้พลังงานไฟมากในการทำงานการใช้งานยาก ราคาแพง
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในช่วง
ค.ศ. 1959 - 1964 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอรที่พัฒนาโดยเทคโนโลยีสารกึ่งตัวนำ
นำมาใช้แทนหลอดสุญญากาศทำให้คอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในช่วง
ค.ศ. 1965 - 1971 เป็นคอมพิวเตอร์ที่สร้างจากอุปกรณ์
ที่เรียกว่าวงจรรวม (Integrated Circuit) วงจรรวมเป็นวงจรที่นำเอาทรานซิสเตอร์หลายๆตัวมาประดิษฐ์รวมบนชิ้นส่วนเดียวกัน
ทำให้ขนาดของคอมพิวเตอร์เล็กลง และราคาก็ถูกลงกว่าเดิม
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในช่วง
ค.ศ. 1972 - 1980 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวมขนาดใหญ่ขึ้นที่รวมการทำงานของทรานซิสเตอร์จำนวนมากขึ้นไว้บนชิ้นส่วนเดียว
ทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่เราเห็นกันทั่้วไป
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานตั้งแต่ค.ศ. 1981 จนถึงปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ได้พัฒนาจนมีความแตกต่างไปจากคอมพิวเตอร์ในยุคก่อนหน้านี้มาก
ทั้งขนาดคุณภาพ ประสิทธิภาพความสะดวกและความหลากหลายในการใช้งาน เช่นคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ดูหนัง
ฟังเพลง เล่นเกมเป็นต้น และความสามารถอีกหลายอย่างที่อยู่ระหว่างการพัฒนา เช่น
การรับรู้คำสั่งด้วยเสียงพูดหรือประโยคที่เป็นภาษามนุษย์
คอมพิวเตอร์ที่สามารถเรียนรู้คิดตัดสินใจเช่นเดียวกันมนุษย์
ข้อ2. ตอบ 4 เนื่องจาก....
การเขียนจำนวนเลขในระบบฐานสอง
ระบบเลขฐานสองกับระบบดิจิตอล ความสัมพันธ์ระหว่างระบบเลขฐานสองกับระบบดิจิทัล
ระบบดิจิทัลที่ใช้ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่
เป็นระบบที่ทำงานด้วยแรงดันไฟฟ้าสองระดับ ซึ่งต่างกับระบบแอนาล็อกดั้งเดิม
ที่ทำงานโดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงของแรงดันไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากระบบดิจิตอลทำงานโดยอาศัยแรงดันไฟฟ้าสองระดับ
เราจึงสามารถใช้ระบบเลขฐานสอง (เลข 0 กับ เลข 1) แทนแรงดันไฟฟ้าสองระดับนั้น
ดังนั้นเมื่อเราสร้างคอมพิวเตอร์ด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์ระบบดิจิตอลเราจึงอาจกล่าวได้ว่าคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยระบบเลขฐานสอง
นั่นคือคอมพิวเตอร์จะใช้เพียงเลข 0 กับเลข 1 เท่านั้น แต่เนื่องจากคอมพิวเตอร์จะต้องคำนวณเลขที่มีค่ามาก
หรือต้องจัดการกับข้อมูลจำนวนมาก เลขฐานสองที่ใช้จึงต้องมีจำนวนหลักมาก
จำนวนหลักของเลขฐานสองนี่เองที่เราเรียกว่า บิต (bit) เช่น
เลขฐานสองที่ใช้เป็นรหัสแทนตัวอักษรต่าง ๆ บนแผงแป้นอักขระของคอมพิวเตอร์นั้น
เป็นเลขฐานสองขนาด 8 บิต คือ มี 8 หลัก
เช่น อักษร “A” แทนด้วย 0100 0001 อักษร “Z” แทนด้วย 0101 1010 เป็นต้น
ข้อ3. ตอบ 4 เนื่องจาก....
เมื่อกดปุ่มเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มีไฟฟ้าเลี้ยงเมนบอร์ด
หน่วยประเมินผลกลางจะเริ่มต้นอ่านชุดคำสั่งไบออส (สั่งตรวจอุปกรณ์และโหลดระบบปฏิบัติการจากฮาร์ดดิสก์ไปที่แรม)
ซึ่งบันทึกอยู่ที่รอม (หน่วยความหลักแบบอ่านได้อย่างเดียว)
ข้อ4. ตอบ 3 เนื่องจาก....
ภาษาในคอมพิวเตอร์แบ่งกว้างๆ ออกมาจะมี 3 แบบ
1. ภาษาระดับต่ำ ซึ่งที่รู้จักกันเป็นอย่างดีคือ
"ภาษาเครื่อง" ซึ่งจะสั่งการโดยรหัสเลขฐานสอง และ
"ภาษาแอสเซมบลี" เป็นภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษาเครื่องมาก
เพียงแต่เพิ่มตัวแปลภาษาขึ้นมาคือแอมเซมเบอลร์
เพื่อแปลภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง
2. ภาษาระดับกลาง เป็นภาษาแบบโครงสร้างซึ่งใกล้เคียงกับภาษาระดับสูงมาก
ที่เรานิยมใช้กันก็คือภาษา C
3. ภาษาระดับสูง มีการใช้ชุดคำสั่งที่เราเรียกกันว่า
"Statements" ที่มีลักษณะเป็นประโยคภาษาอังกฤษ
ทำให้ผู้พัฒนาสามารถเข้าใจชุดคำสั่งเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ง่ายขึ้น
ซึ่งภาษาระดับสูงจำเป็นต้องมีตัวแปลภาษาจากชุดคำสั่งที่เขียนให้เป็นภาษาเครื่อง
ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด คือ อินเตอร์พรีเตอร์(ใช้แปลชุดคำสั่ง)
และคอมไพเลอร์(แปลครั้งเดียวทั้งโปรแกรม) ตัวอย่างภาษาระดับสูง เช่น COBAL,VB,
FORTRAN, PASCAL เป็นต้น
ข้อ5. ตอบ 1 เนื่องจาก....
1.สายคู่บิดเกลียว (twisted pair cable) สายนำสัญญาณแบบนี้แต่ละคู่สายที่เป็นสายทองแดงจะถูกพันบิดเป็นเกลียว
เพื่อลบการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากคู่สายข้างเคียงภายในสายเดียวกันหรือจากภายนอก
ทำให้สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง
สายคู่บิดเกลียวสามารถใช้ส่งข้อมูลจำนวนมากเป็นระยะทางไกลได้หลายกิโลเมตร
เนื่องจากราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้ดี น้ำหนักเบา ง่ายต่อการติดตั้ง จึงนิยมใช้งานอย่างกว้างขวาง
2.สายโคแอกซ์ (coaxial cable) เป็นสายนำสัญญาณที่เรารู้จักกันดี
โดยใช้เป็นสายนำสัญญาณที่ต่อจากเสาอากาศเครื่องรับโทรทัศน์หรืสายเคเบิลทีวี
ตัวสายประกอบด้วยลวดทองแดงที่เป็นแกนหลักหนึ่งเส้นหุ้มด้วยฉนวนเพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่ว
จากนั้นจะหุ้มด้วยตัวนำซึ่งทำจากลวดทองแดงทักเป็นร่างแหเพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและสัญญาณรบกวนอื่นๆ
ก่อนจะหุ้มชั้นนอกสุดด้วยฉนวนพลาสติก และนิยมใช้เป็นสายนำสัญญาณแอนะล็อกเพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ภาพและเสียง (audio-video
devices) ต่างๆ ภายในบ้านและสำนักงาน
3.สายไฟเบอร์ออพติก (fiber-optic cable) ประกอบด้วยกลุ่มของเส้นใยทำจากแก้วหรือพลาสติกที่มีขนาดเล็กประมาณเส้นผม
แต่ละเส้นจะมีแกนกลาง (core) ที่ถูกห่อหุ้มด้วยวัสดุใยแก้วอีกชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า
แคล็ดดิง(cladding) และหุ้มอีกชั้นด้วยฉนวนเพื่อป้องกันการกระแทกและฉีกขาด
ที่มา: